การเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้า

นักวางแผนทางการเงินจะต้องทำการกำหนดเป้าหมายที่ลูกค้าต้องการ

ก่อนที่จะวางแผนทางการเงิน และนำแผนทางการเงินที่วางไว้ไปปฏิบัติให้กับลูกค้าได้นั้น นักวางแผนทางการเงินจะต้องทำการกำหนดเป้าหมายที่ลูกค้าต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับเปลี่ยนเป้าหมายที่ลูกค้าต้องการให้เป็นเป้าหมายทางการเงิน และถ้าหากเป้าหมายที่ลูกค้าต้องการนั้นมีหลายหลายเป้าหมายด้วยกัน นักวางแผนทางการเงินก็จะต้องทำการเรียงลำดับความสำคัญของเป้าหมายเหล่านั้นก่อน

นักวางแผนทางการเงินจะต้องทำการกำหนดเป้าหมาย และเรียงลำดับความสำคัญของเป้าหมายต่าง ๆ ร่วมกับลูกค้า อย่างไรก็ตาม การกำหนดเป้าหมายทางการเงิน เพื่อที่จะนำไปสู่การปฏิบัติตามแผนทางการเงินที่วางไว้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่นักวางแผนทางการเงิน จะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลความต้องการ ความจำเป็น รวมทั้งข้อมูลอื่น ๆ ของลูกค้า และสมมติฐานที่เกี่ยวข้องกับการวางแผน

ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ลูกค้าเปิดเผยให้กับนักวางแผนทางการเงิน ซึ่งก็ต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้นในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อให้เกิดความเชื่อถือและไว้วางใจ ในการเปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วนและถูกต้อง

1. การเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณ

ก่อนที่นักวางแผนทางการเงินจะทำการวิเคราะห์สถานะทางการเงินของลูกค้า เพื่อทำการวางแผนทางการเงิน ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิบัติตามแผนทางการเงินที่วางไว้นั้น นักวางแผนทางการเงินและลูกค้า จะต้องร่วมมือกันในการกำหนดความต้องการ และความจำเป็นของลูกค้า เพื่อนำไปสู่การกำหนดเป้าหมายที่ต้องการ และปรับเปลี่ยนเป้าหมายดังกล่าวให้อยู่ในรูปของเป้าหมายทางการเงินที่เหมาะสม แล้วจึงทำการเรียงลำดับความสำคัญของเป้าหมายทางการเงินดังกล่าว

การที่นักวางแผนทางการเงินจะสามารถ กำหนดเป้าหมายทางการเงินได้ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น นักวางแผนทางการเงินจะต้องทำการสำรวจทัศนคติ ความคาดหวัง และระยะเวลาที่ต้องการบรรลุเป้าหมายของลูกค้า ทั้งนี้หมายความว่านักวางแผนทางการเงิน คำนึงถึงผลประโยชน์ที่ลูกค้าต้องการได้รับจากการวางแผนทางการเงินเป็นอันดับแรก แล้วหาแนวทางที่จะทำให้ลูกค้าสามารถมีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ต้องการ นักวางแผนทางการเงินจำเป็นต้องชี้แจงให้ลูกค้า ตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลที่ต้องเก็บรวบรวมว่า ถ้าหากมีการเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้อง จะส่งผลทำให้แผนทางการเงินที่จะทำขึ้นอาจไม่สามารถนำไปปฏิบัติให้บรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการได้

ถ้านักวางแผนทางการเงินไม่สามารถที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับลูกค้าได้อย่างครบถ้วนและถูกต้อง ก็อาจส่งผลทำให้ไม่สามารถจะทำแผนทางการเงินให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดได้ นักวางแผนทางการเงินก็อาจจะต้องทำการระบุถึงข้อจำกัดในการเก็บรวบรวมข้อมูล และระบุถึงผลกระทบต่อแผนทางการเงินที่จะทำขึ้นไว้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ในการกำหนดขอบเขตของความสัมพันธ์ ระหว่างนักวางแผนทางการเงินและลูกค้า หรืออาจจะต้องทำการยกเลิกข้อตกลง ในการจัดทำแผนทางการเงินสำหรับลูกค้ารายดังกล่าว

การเก็บรวบรวมข้อมูลอาจอาศัยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลประถมภูมิ จากการสัมภาษณ์และการตอบแบบสอบถาม รวมทั้งเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ โดยทำการรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีประสิทธิภาพที่สุด ข้อมูลที่ผู้วางแผนทางการเงินจะต้องรวบรวมจากลูกค้า จะประกอบไปด้วย

1.1 ข้อมูลเชิงคุณภาพ

เป็นข้อมูลที่ระบุรายละเอียดทั่วไปเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของผู้รับคำปรึกษา ซึ่งจะส่งผลต่อการกำหนดเป้าหมาย และการกำหนดแผนทางการเงินให้มีความเหมาะสมกับผู้รับคำปรึกษาให้มากที่สุด ข้อมูลเชิงคุณภาพดังกล่าวจะประกอบด้วยข้อมูลทั่วไปของผู้รับคำปรึกษาและผู้ที่อยู่ในอุปการะ ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของผู้รับคำปรึกษาและครอบครัว ข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของผู้รับคำปรึกษาและครอบครัว และระดับความสำคัญของเป้าหมาย วิถีชีวิต งานอดิเรก ทัศนะคติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการออมและการลงทุน ความคงทนต่อความเสี่ยง การบริหารความเสี่ยง และการทำประกัน ข้อจำกัดในการวางแผนทางการเงินต่าง ๆ เช่น ระเบียบข้อบังคับ กฎเกณฑ์ กฎหมาย เงื่อนไขเฉพาะบุคคล

1.2 ข้อมูลเชิงปริมาณ

ซึ่งโดยทั่วไปแล้วข้อมูลเชิงปริมาณ ที่จะต้องทำการเก็บรวบรวมมาได้แก่ สถานะทางการเงินของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ต่าง ๆ ของลูกค้า เช่น กลุ่มหลักทรัพย์ที่ลงทุนในปัจจุบันและหนี้สิน หรือภาระผูกพันที่จะต้องทำการชำระคืนในอนาคตทั้งหมดของลูกค้า รวมทั้งแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

กิจกรรมทางการเงินของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นแหล่งที่มาของกระแสเงินสดรับ เช่น การจ้างงาน และแหล่งที่ใช้ไปของกระแสเงินสดจ่าย เช่น ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รวมทั้งแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น อัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ และแหล่งเงินสำหรับวัยเกษียณของลูกค้า ความต้องการในการบริหารสภาพคล่องของลูกค้า ภาระภาษีของลูกค้า

ข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้ทำการเก็บรวบรวมมาจากลูกค้า จะต้องให้ลูกค้าทำการตรวจสอบ และยอมรับความถูกต้องของข้อมูลดังกล่าวอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการรวบรวมข้อมูลของลูกค้ามาแล้วนั้น มักจะมีการนำมาจัดเก็บไว้ในรูปของเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งอาจเกิดความผิดพลาดระหว่างการพิมพ์เพื่อนำเข้าข้อมูลในโปรแกรม นักวางแผนทางการเงินอาจนำข้อมูลที่จัดเก็บเรียบร้อยแล้วพิมพ์เป็นเอกสารให้ลูกค้าตรวจสอบ และลงลายมือชื่อเพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูลดังกล่าว

2. สมมติฐานที่จำเป็น

การวางแผนทางการเงินจำเป็นที่จะต้องกำหนดสมมติฐานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสมมติฐานส่วนบุคคล เช่น อายุขัย อัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ เป็นต้น รวมทั้งจำเป็นอาศัยการเก็บรวบรวมข้อมูลอื่น ๆ เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ นอกเหนือจากข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อนำมาประกอบการกำหนดสมติฐานที่จำเป็นต้องใช้ ในการวางแผนทางการเงินอันประกอบไปด้วย

2.1 สมมติฐานส่วนบุคคล

การจัดทำแผนการเงินสำหรับบุคคลนั้น อาจจำเป็นต้องกำหนดสมมติฐานทางการเงิน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

2.1.1 สมมติฐานเชิงคุณภาพ

เป็นสมมติฐานของผู้รับคำปรึกษาเกี่ยวกับรูปแบบการดำเนินชีวิต เช่น การประกอบอาชีพ การกำหนดที่พักอาศัย และวิถีชีวิต ซึ่งสมมติฐานดังกล่าวนี้จะส่งผลกระทบต่อรายได้ และรายจ่ายของผู้รับคำปรึกษาแต่ละคน

2.1.2 สมมติฐานเชิงปริมาณ

เป็นข้อมูลที่ใช้ในการประมาณการ เป็นที่มาของรายได้และรายจ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งหมดในอนาคต ซึ่งผู้รับคำปรึกษาที่ไม่มีพื้นฐานทางด้านการเงินอาจจะไม่เข้าใจ หรือไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ ดังนั้น นักวางแผนการเงินต้องช่วยในการจัดทำข้อมูล และอธิบายให้เข้าใจว่าทำไมจึงใช้ข้อมูล และตัวเลขต่าง ๆ เหล่านี้ในการจัดทำแผนทางการเงิน

2.2 สมมติฐานเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ

การวางแผนทางการเงินสำหรับผู้รับคำปรึกษาหรือลูกค้า อาจจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยเศรษฐศาสตร์มหภาค เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดรับและจ่ายของลูกค้าในอนาคต รวมทั้งยังอาจส่งผลต่อต้นทุนค่าเสียโอกาสต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เป็นอัตราคิดลดในการคำนวณทางการเงิน รวมทั้งอาจต้องนำไปประกอบการวิเคราะห์มูลค่าหลักทรัพย์ต่าง ๆ เนื่องจากในการวางแผนทางการเงินในส่วนของแผนการลงทุน โดยส่วนใหญ่มักใช้วิธี Top Down approach ซึ่งจะศึกษาภาวะเศรษฐกิจโดยรวม แล้วจึงพิจารณาความสัมพันธ์ และผลกระทบที่มีต่อภาวะอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีความสัมพันธ์และส่งผลกระทบต่อบริษัทต่าง ๆ

2.2.1 ปัจจัยเศรษฐศาสตร์มหภาค

จะเป็นข้อมูลที่จะส่งผลต่อการกำหนดสมมติฐานเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งอาจได้แก่ปัจจัยแวดล้อมด้านภาวะเศรษฐกิจ และปัจจัยแวดล้อมด้านมหภาคอื่น ๆ

2.2.2 อัตราเงินเฟ้อ

หมายถึงอัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาปีปัจจุบัน เปรียบเทียบกับดัชนีราคาของปีก่อนหน้า ทั้งนี้ความสำคัญของการตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากเงินเฟ้อเป็นภาวะที่ระดับราคาสินค้า และบริการโดยทั่วไปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการคาดการณ์ค่าใช้จ่ายในอนาคต

2.2.3 อัตราดอกเบี้ย

เป็นต้นทุนของทรัพยากรเงินทุนที่จะระดม และชี้ถึงผลตอบแทนที่พึงได้รับจากการลงทุน การเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยในอดีต จะมีผลต่อการกำหนดสมมติฐานเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต

3. การกำหนดเป้าหมายของลูกค้า

บทบาทที่สำคัญของนักวางแผนทางการเงิน จะต้องทำการร่วมมือกับลูกค้าในการสำรวจความต้องการ และความจำเป็นของลูกค้า เพื่อนำมากำหนดเป็นเป้าหมายทางการเงินที่เป็นไปได้อย่างชัดเจน การกำหนดเป้าหมายทางการเงิน จึงเป็นเสมือนเข็มทิศที่จะช่วยกำหนดแนวทางในการปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นในอนาคตได้อย่างราบรื่น

ทั้งนี้เป้าหมายทางการเงินจะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงจุดมุ่งหมายผู้รับคำปรึกษาต้องการ โดยวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายทางการเงินของแต่ละคน จะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม พฤติกรรมการใช้ชีวิต สิ่งที่คาดหวัง ความต้องการหรือความจำเป็นของแต่ละบุคคล เป้าหมายทางการเงินโดยทั่วไปแล้ว อาจแบ่งตามระยะเวลาที่ต้องการบรรลุเป้าหมายทางการเงินดังกล่าวคือ

3.1 เป้าหมายทางการเงินระยะสั้น

เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะหน้า เช่น ความสะดวกสบายในปัจจุบัน ในการดำเนินชีวิตของตนเองและครอบครัว ซึ่งกำหนดระยะเวลาในการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ภายใน 3 ปี

3.2 เป้าหมายทางการเงินระยะกลาง

เพื่อมุ่งสะสมความมั่งคั่งของสินทรัพย์ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในอนาคต โดยมีกำหนดระยะเวลาสำหรับการที่จะบรรลุตามเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ภายใน 3-7 ปี

3.3 เป้าหมายทางการเงินระยะยาว

ซึ่งมุ่งหวังอิสระภาพทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงชีวิตหลังเกษียณ ซึ่งมีกำหนดระยะเวลาสำหรับการที่จะบรรลุตามเป้าหมายดังกล่าวมากกว่า 7 ปี

นักวางแผนทางการเงินควรให้คำแนะนำกับลูกค้า เพื่อนำไปสู่การกำหนดเป้าหมายทางการเงินที่ดี ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญคือ ความชัดเจน เฉพาะเจาะจง โดยต้องระบุถึงเป้าหมายที่ต้องการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้สามารถกำหนดแนวทางในการวางแผนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย รวมทั้งสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าในการบรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าว จำนวนเงินที่ต้องการใช้ในการบรรลุเป้าหมาย

ในแผนทางการเงินที่ได้วางไว้ต้องมีข้อมูลระบุว่า ในการที่จะบรรลุเป้าหมายหรือให้ได้ในสิ่งที่ต้องการดังกล่าว จำเป็นที่จะต้องมีต้นทุนหรือต้องใช้เงินจำนวนเท่าใด ระยะเวลาที่ต้องการบรรลุถึงเป้าหมาย เพื่อกำหนดกรอบเวลาของแผนทางการเงินว่า ต้องการบรรลุเป้าหมายเมื่อใด ไม่ให้แผนทางการเงินดังกล่าวเลื่อนออกไปได้เรื่อย ๆ และมีความเป็นไปได้ ทั้งนี้นักวางแผนทางการเงินจะต้องให้คำแนะนำกับลูกค้า ในการกำหนดเป้าหมายทางการเงินที่สมเหตุสมผล และอยู่ในวิสัยที่เป็นไปได้

4. ร่างความเสี่ยงของลูกค้า

ในการวางแผนทางการเงิน บางครั้งนักวางแผนทางการเงินอาจต้องทำการเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้า เพื่อสำรวจระดับความทนต่อความเสี่ยงของลูกค้า ซึ่งอาจต้องอาศัยเครื่องมือหรือแบบทดสอบต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม เครื่องมือหรือแบบทดสอบเหล่านั้น อาจใช้เป็นเพียงแนวทางในการกำหนดระดับความทนต่อความเสี่ยงของลูกค้า แต่ไม่สามารถที่จะระบุถึงพฤติกรรมที่แท้จริงของลูกค้า เกี่ยวกับระดับความทนต่อความเสี่ยง แนวทางในการที่จะวิเคราะห์ หรือประเมินความทนต่อความเสี่ยงของลูกค้านั้น จะต้องประเมินทั้งระดับความยินดีในการลงทุน และระดับความสามารถในการรับความเสี่ยง

5. ภาระภาษีของลูกค้า

ในการวางแผนภาษีนักวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล จึงต้องมีความรู้ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งจะเก็บจากผู้ที่มีเงินได้ทั่วประเทศ โดยไม่จำกัดอายุ ความสามารถ สัญชาติ เป็นต้น ซึ่งอาจแบ่งได้เป็นบุคคลธรรมดาผู้ถึงแก่ความตายระหว่างภาษี กองมรดกที่ยังมิได้แบ่ง และห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ทั้งนี้หากผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาดังกล่าว มีเงินได้พึงประเมินขั้นต่ำตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้ที่ต้องดำเนินการแทน มีหน้าที่และความรับผิดชอบต้องยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษี หรือดำเนินการขอคืนภาษี ซึ่งเป็นหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้

พอจะสรุปได้ว่า การเก็บรวบรวมข้อมูลมีความสำคัญอย่างมากต่อการวางแผนทางการเงิน ทั้งนี้เนื่องจากการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน จะส่งผลทำให้นักวางแผนทางการเงินสามารถประเมินสถานะทางการเงินของลูกค้าได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งส่งผลทำให้ลูกค้าสามารถจัดลำดับความสำคัญของความต้องการของตนเองได้ ซึ่งจะนำไปสู่การวางแผนทางการเงินที่เหมาะสมของนักวางแผนทางการเงิน ซึ่งลูกค้าก็จะเห็นได้ชัดถึงความสำเร็จจากแผนทางการเงินที่กำหนด จึงเน้นไปที่การเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ

เริ่มต้นด้วยการศึกษาวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า ทั้งข้อมูลที่เป็นตัวเลขที่เรียกว่า ข้อมูลเชิงคุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณ หลังจากนั้นก็จะเป็นการศึกษาแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาใช้เป็นสมมติฐานที่จำเป็นในการวางแผนทางการเงิน โดยข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ทั้งหมดนั้น จะนำไปสู่แนวทางในการกำหนดเป้าหมายของลูกค้า การกำหนดร่างความเสี่ยงของลูกค้า การจัดทำงบทางการเงินของลูกค้า และการคำนวณภาระภาษีของลูกค้าตามลำดับ.

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *