ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน เป็นคำกล่าวที่ทุกคนคุ้นหู และเป็นที่ยอมรับทั่วไปว่า ในความเป็นจริงชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีใครสามารถกำหนดได้ว่าจะตายเมื่อใด และจะตายอย่างไร มนุษย์นั้นย่อมมีความปรารถนาที่จะมีชีวิตอย่างมีความสุขทั้งกายและใจ มีการศึกษาที่ดี มีรายได้ที่เพียงพอ และมีทรัพย์สินที่มั่นคงให้แก่ลูกหลานในอนาคต แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น หลายอย่างอาจไม่เป็นไปตามที่หวัง อาจจะประสบกับสิ่งที่ไม่คาดหวังและไม่พึงประสงค์ เช่น การตกงาน การเสียชีวิตของสามีหรือภริยาเนื่องจากอุบัติเหตุเมื่อลูกยังเล็ก ไฟไหม้บ้าน เป็นต้น
เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ย่อมนำมาซึ่งความสูญเสียทั้งทรัพย์สิน และมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจ อาจสามารถจัดการกับเหตุการณ์ และผลที่ตามมาจากเหตุการณ์นั้น ๆ ได้อย่างเหมาะสม ก็จะสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างเป็นสุขหรือหมดห่วง ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ก็ตาม จึงอาจกล่าวได้ว่า ทุกคนล้วนต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนอยู่ตลอดเวลา การวางแผนการจัดการเพื่อลดความสูญเสีย ที่อาจจะเกิดขึ้นจากความเสี่ยงภัยนั้น นับได้ว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ
1. ความหมายของความเสี่ยงภัย
ความเสี่ยงที่รู้จักและเข้าใจ โดยทั่วไปนั้นในที่นี้จะหมายถึง ความเสี่ยงภัยซึ่งได้มีการให้ความนิยาม ความหมายของความเสี่ยงภัยไว้มากมายเช่น
1.1 ความเสี่ยงภัย
คือ โอกาสที่จะเกิดความเสียหาย (the chance of loss) หมายถึงสภาวการณ์ที่อาจจะต้องเผชิญกับความเสียหาย หรือสภาวการณ์ที่อาจจะมีความเสียหายเกิดขึ้น โดยระบุออกมาเป็นค่าความน่าจะเป็นในรูปของตัวเลขหรือร้อยละได้ หรืออีกนัยหนึ่ง ความเสี่ยงภัยตามความหมายนี้ จะหมายถึงโอกาสที่จะเกิดความเสียหาย หรือไม่เกิดความเสียหาย ซึ่งยังไม่ทราบแน่ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่นั่นเอง
1.2 ความเสี่ยงภัยคือความเป็นไปได้ที่จะเกิดความเสียหาย (the possibility of loss)
ความหมายนี้ถือเป็นความหมายที่กว้างที่สุดของคำว่าความเสี่ยงภัย และเป็นความหมายที่คนทั่วไปเข้าใจกันนั่นคือความเสี่ยงภัยหมายถึงความเป็นไปได้ ที่จะเกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของมนุษย์ ซึ่งคำว่าความเป็นไปได้ในที่นี้จะหมายถึงความน่าจะเป็น ที่เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นโดยมีค่าอยู่ระหว่าง 0 และ 1 แต่ไม่สามารถระบุค่าความน่าจะเป็นออกมาเป็นตัวเลข หรือร้อยละที่แน่นอนได้
1.3 ความเสี่ยงภัยคือความไม่แน่นอน (the uncertainty)
หมายถึง ความไม่แน่นอนของความเสียหายที่จะเกิดขึ้น โดยมองจากการรับรู้หรือความนึกคิดของมนุษย์ เกี่ยวกับความไม่แน่นอนนั้น
1.4 ความเสี่ยงภัยคือความผันแปรของผลลัพธ์ที่แท้จริงจากผลลัพธ์ที่คาดไว้ (the dispersion of actual results from expected results)
ความหมายนี้เป็นการมองความเสี่ยงภัยตามแบบนักสถิติ ที่ถือว่าข้อมูลโดยทั่วไปจะต้องมีผลลัพธ์ที่คาดไว้ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หรือความแปรปรวนส่วนที่เบี่ยงเบนไปจากผลลัพธ์ที่คาดไว้นี้เอง ที่นักประกันภัยจัดว่าเป็นความเสี่ยงภัย
1.5 ความเสี่ยงภัยคือความน่าจะเป็นของผลลัพธ์ใด ๆ ที่แตกต่างจากผลลัพธ์ที่คาดไว้ (the probability of any outcome different from the one expected)
ความหมายนี้จะคล้ายคลึงกับความเสี่ยงภัยในลักษณะของความผันแปรของผลลัพธ์ที่แท้จริงจากผลลัพธ์ที่คาดไว้ ต่างกันเพียงแต่ว่าความเสี่ยงภัยในความหมายนี้ จะหมายถึงความผันแปรไปจากความน่าจะเป็นที่คาดไว้ ในรูปของอัตราส่วนหรือร้อยละ ไม่ใช่ความผันแปรไปจากผลลัพธ์ที่คาดไว้ในรูปของจำนวน
2. ประเภทของความเสี่ยงภัย
สำหรับการวางแผนการประกันภัยนี้ จะแบ่งประเภทของความเสี่ยงภัยออกเป็น 4 ประเภท ตามปัจจัยดังนี้
2.1 แบ่งตามลักษณะการวัดค่า สามารถแบ่งได้เป็นดังนี้
2.1.1 ความเสี่ยงภัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายที่วัดค่าเป็นเงินได้
หมายถึง สถานการณ์ที่เมื่อเกิดภัย และความเสียหายแล้วสามารถตีค่าออกมาเป็นตัวเงินได้ เช่น ถ้าบ้านเกิดไฟไหม้ก็สามารถประเมินราคาทรัพย์สินทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบ้าน เครื่องเรือน เครื่องใช้ต่าง ๆ ออกมาเป็นจำนวนเงินได้
2.1.2 ความเสี่ยงภัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายที่วัดค่าเป็นเงินไม่ได้
เป็นความเสี่ยงภัยที่ ผลลัพธ์จากความเสี่ยงดังกล่าวไม่สามารถวัดค่าออกมาเป็นเงินได้ แต่เป็นความเสี่ยงภัยที่มีผลทางจิตใจเป็นหลัก ในการประกันภัยจึงไม่พิจารณาความเสี่ยงภัยประเภทนี้ จะพิจารณาเฉพาะความเสี่ยงภัยที่สามารถวัดค่าเป็นเงินได้เท่านั้น
2.2 แบ่งตามปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง สามารถแบ่งได้ดังนี้
2.2.1 ความเสี่ยงผันแปร
คือ ความเสี่ยงที่มีผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยแวดล้อมจำนวนมาก ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความเสี่ยงผันแปรเป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องโดยตรง กับการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ที่คาดการณ์ได้ยาก
2.2.2 ความเสี่ยงคงที่
คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากผลกระทบ ที่นอกเหนือไปจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหรือปัจจัยแวดล้อมค่อนข้างจำกัด
2.3 แบ่งตามผู้ที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้
2.3.1 ความเสี่ยงภัยต่อส่วนรวม เป็นความเสี่ยงภัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อคนจำนวนมาก หรือกลุ่มคนจำนวนมาก อันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือผลกระทบจากภัยธรรมชาติ
2.3.2 ความเสี่ยงจำเพาะคือ ความเสี่ยงภัยที่มีผลกระทบ หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือต่อกลุ่มบุคคลโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวกับส่วนรวม
2.4 แบ่งตามผลลัพธ์ที่ได้จากความเสี่ยง
2.4.1 ความเสี่ยงภัยที่มุ่งเก็งกำไรคือ ความเสี่ยงภัยที่มีโอกาสเกิดผลลัพธ์ได้ทั้งกำไร คุ้มทุน หรือขาดทุน
2.4.2 ความเสี่ยงภัยที่แท้จริง เป็นความเสี่ยงภัยที่มีผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้เพียง 2 ทาง หรือมีภัยหรือมีเหตุการณ์เกิดขึ้นคือ เกิดความเสียหายหรือไม่เกิดความเสียหาย โดยไม่มีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์ จากความเสี่ยงภัยหรือเหตุการณ์ดังกล่าว
3. ความเสี่ยงภัยที่แท้จริง (Pure risk)
ลักษณะสำคัญของความเสี่ยงภัยที่แท้จริง เป็นความเสี่ยงภัยที่สามารถประกันภัยได้ หรือใช้การประกันภัยเป็นเครื่องมือ ในการบริหารความเสี่ยงได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ความเสียใจที่แท้จริงทุกประเภท จะสามารถประกันภัยได้ ความเสี่ยงภัยที่แท้จริงเป็นความเสี่ยงภัยที่สามารถระบุ และประเมินความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากความเสี่ยงภัยเป็นตัวเงินได้ สามารถแบ่งเป็น 4 ประเภทดังนี้
3.1 ความเสี่ยงภัยส่วนบุคคลคือ ความเสี่ยงภัยที่เกิดขึ้นหรือมีผลกระทบทางด้านลบโดยตรง ในด้านของการลดทอนความสามารถ โอกาส และศักยภาพในการหารายได้ สามารถแบ่งเป็น
3.1.1 ความเสี่ยงภัยจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร การเสียชีวิตของผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว ย่อมนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงต่อบุคคลในครอบครัว ทั้งทางจิตใจและทางการเงิน ปัญหาทางการเงินจะมีมากขึ้น หากผู้ที่เสียชีวิตนั้นเป็นผู้หารายได้หลัก
3.1.2 ความเสี่ยงภัยจากการมีรายได้ไม่เพียงพอเมื่อเกษียณอายุ ปัจจุบันมนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้น เนื่องจากความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องมีเงินให้เพียงพอ ต่อการใช้จ่ายในช่วงที่ไม่มีรายได้
3.1.3 ความเสี่ยงภัยจากการมีสุขภาพไม่ดี หรือการทุพพลภาพ การมีปัญหาสุขภาพจะทำให้เกิดการสูญเสียเงินทอง เวลา และโอกาสในการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้
3.1.4 ความเสี่ยงภัยจากการว่างงาน ย่อมส่งผลต่อการขาดรายได้ของผู้ตกงาน และถ้าหากระยะเวลาของการว่างงานนาน จะทำให้เงินออมของผู้ว่างานลดน้อยลง หรืออาจหมดไปได้
3.2 ความเสี่ยงต่อทรัพย์สิน คนที่มีทรัพย์สินย่อมมีความเสี่ยงภัยต่อทรัพย์สิน โดยทรัพย์สินนั้นอาจถูกทำลายหรือสูญหาย เนื่องจากสาเหตุต่าง ๆ ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น อาจแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
3.2.1 ความเสียหายโดยตรง หมายถึงความสูญเสียทางการเงิน อันเป็นผลจากความเสียหายทางกายภาพ ที่เกิดขึ้นโดยตรงต่อทรัพย์สิน และไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเสื่อมสภาพตามการใช้งานปกติ
3.2.1 ความเสียหายโดยอ้อม หรือความเสียหายต่อเนื่อง หมายถึงความสูญเสียทางการเงิน ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากความเสียหายโดยตรง
3.3 ความเสี่ยงภัยตามความรับผิดชอบ เป็นความเสี่ยงภัยที่เกี่ยวข้องกับการรับผิด ในการกระทำที่มีผลกระทบต่อคนอื่น ซึ่งภายใต้กรอบของกฎหมาย ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำที่ทำให้ร่างกาย หรือทรัพย์สินของคนอื่นเสียหาย โดยที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่มนุษย์มีอยู่ 2 อย่างคือ
3.3.1 ความเสียหายในทางทรัพย์สิน หมายถึงความเสียหายที่สามารถประเมินราคาเป็นเงินได้
3.3.2 ความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน หมายความถึงความเสียหายที่ไม่สามารถประเมินราคาเป็นเงินได้
3.4 ความเสี่ยงภัยอันเนื่องมาจากความผิดพลาดของผู้อื่น เป็นความเสี่ยงอันเนื่องมาจากการที่บุคคลอื่นสัญญา หรือมีข้อผูกมัดที่จะกระทำบางสิ่งบางอย่างให้ แต่เมื่อถึงกำหนดเวลาแล้ว บุคคลผู้นั้นกลับละเมิดมิได้ทำตามสัญญา หรือทำแล้วแต่ไม่เสร็จตามกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ ส่งผลให้เกิดความเสียหาย หรือความสูญเสียทางการเงิน
4. กฎการบริหารความเสี่ยง
ในการจัดทำแผนการบริหารความเสี่ยง ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำ จะต้องให้ความสำคัญ และคำนึงถึงกฎในการบริหารความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา แล้วนำมาใช้เป็นกรอบของการวางแผนการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้แผนการบริหารความเสี่ยงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิผล ซึ่งกฎของการบริหารความเสี่ยงมี 3 ข้อดังนี้
กฎข้อที่ 1 ไม่ควรยอมรับความเสี่ยงโดยปราศจากมาตรการในการบริหารความเสี่ยงรองรับ ผลของการยอมรับความเสี่ยงใด ๆ อาจจะนำมาซึ่งความเสียหายทางการเงิน ที่สูงเกินกว่าความสามารถที่คนจะจัดการได้ ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จึงควรพิจารณาหาทางหรือมาตรการ ที่จะสามารถลดหรือขจัดผลกระทบ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย
กฎข้อที่ 2 คำนึงถึงโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง โอกาสของการที่จะเกิดความเสี่ยงใด ๆ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อต้นทุนในการบริหารความเสี่ยง เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือก ทางเลือกในการบริหารความเสี่ยงที่ดีที่สุด
กฎข้อที่ 3 คำนึงถึงต้นทุนโดยเปรียบเทียบกับมูลค่าความคุ้มครอง ในการบริหารความเสี่ยงควรคำนึงถึงต้นทุน ที่จะใช้ในการบริหารความเสี่ยงสำหรับแต่ละทางเลือก โดยเปรียบเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ในลักษณะของการวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ ซึ่งควรให้ความสำคัญกับทางเลือกในการบริหารความเสี่ยง ที่มีต้นทุนเหมาะสมกับความคุ้มครองความเสียหาย หรือความสูญเสียที่อาจเกิดจากความเสี่ยงดังกล่าวได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่ว่า ความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดความสูญเสียสูงที่สุด ควรที่จะได้รับการพิจารณาหามาตรการ ในการบริหารความเสี่ยงมารองรับเป็นลำดับแรก
5. วิธีการจัดการความเสี่ยงภัย
ในช่วงชีวิตนั้นต้องประสบกับความเสี่ยงภัยตลอดเวลา การจัดการกับความเสี่ยงภัยย่อมเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งวิธีการจัดการความเสี่ยงภัย สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
5.1 การควบคุมความเสี่ยงภัย เป็นวิธีที่พยายามลดโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ หรือความเสี่ยงภัยใด ๆ รวมถึงพยายามที่จะลดความสูญเสีย หรือลดความรุนแรงของความเสียหาย ซึ่งประกอบด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
5.1.1 การหลีกเลี่ยงความเสี่ยงภัยคือ ความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ หรือสาเหตุที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย
5.1.2 การควบคุมความสูญเสียหรือการลดความเสี่ยงคือ ความพยายามในการควบคุมหรือป้องกัน เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง อันอาจจะนำมาซึ่งความสูญเสีย
5.2 การจัดหาเงินมาเพื่อจัดการความเสี่ยงภัย เป็นวิธีการบริหารความเสี่ยงโดยใช้เงินเป็นตัวกลาง สำหรับการชดเชยค่าเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากความเสี่ยง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
5.2.1 การรับความเสี่ยงภัยไว้เองคือ การยอมรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภัยนั้นไว้เอง
5.2.2 การโอนความเสี่ยงภัย เป็นวิธีการจัดการความเสี่ยงภัยที่เป็นที่นิยมวิธีหนึ่ง
6. กระบวนการบริหารความเสี่ยงภัย
ในโลกของความเป็นจริง การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะเดินไปสู่เป้าหมายทางการเงินที่กำหนดไว้ จะมีอุปสรรคและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น จากปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม หรือที่มีความเสี่ยงค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม สามารถที่จะลดหรือขจัดผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์ หรือความไม่แน่นอนดังกล่าวได้ โดยการนำแนวคิดเรื่องการบริหารความเสี่ยงเข้ามาใช้
กระบวนการบริหารความเสี่ยงคือ กระบวนการวิเคราะห์หาความเสี่ยงที่มีโอกาสจะเกิดขึ้น เพื่อกำหนดแนวทางหรือมาตรการ ในการลดหรือขจัดจากความเสี่ยงดังกล่าว ซึ่งมี 6 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดวัตถุประสงค์ของการบริหารความเสี่ยงภัย จะต้องเริ่มจากการระบุเป้าหมาย หรือผลลัพธ์ที่ต้องการจากการบริหารความเสี่ยง ซึ่งจะสามารถใช้เป็นบรรทัดฐานในการประเมินความก้าวหน้า โอกาส และความเป็นไปได้ที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ ทั้งวัตถุประสงค์หลักและวัตถุประสงค์ย่อยที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งหลักการกำหนดวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ ต้องชัดเจน มีความเป็นไปได้ อยู่ภายใต้กรอบระยะเวลาที่แน่นอน สามารถวัดผลได้ เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 2 การรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะนำไปสู่การวิเคราะห์หาความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีอยู่ ทั้งนี้การรวบรวมข้อมูลอาจใช้วิธีการสัมภาษณ์ และการวิเคราะห์จากเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ขั้นตอนที่ 3 การประเมินความเสี่ยงภัย และจัดสรรวิธีการจัดการที่เหมาะสม เป็นการนำข้อมูลที่รวบรวมได้ มาวิเคราะห์หาความเสี่ยงภัยที่มีทั้งหมด ซึ่งจะประกอบด้วย 3 ขั้นตอนคือ
1. จัดทำรายการเหตุการณ์ความเสี่ยงภัยด้านต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการสูญเสีย ทางการเงินของตนเองและครอบครัว
2. วิเคราะห์หาวิธีการจัดการความเสี่ยงที่ใช้
3. เปรียบเทียบวิธีการจัดการความเสี่ยงที่ใช้อยู่ กับวิธีการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อหาช่องว่างที่เกิดขึ้น
ขั้นตอนที่ 4 การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงภัย หลังจากระบุความเสี่ยงที่พบ และมีการวิเคราะห์หาวิธีการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมแล้ว ก็ควรจะจัดทำแผนบริหารความเสี่ยง เพื่อลดหรือขจัดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยนำวิธีการบริหารความเสี่ยงที่ได้กล่าวไว้แล้ว มาใช้สำหรับความเสี่ยงบางประเภท ที่ผู้วางแผนการประกันภัยไม่มีความชำนาญ หากจำเป็นจะต้องขอความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
ขั้นตอนที่ 5 การนำแผนบริหารความเสี่ยงภัยไปปฏิบัติ นักวางแผนการเงินจะทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน เพื่อให้แผนที่วางไว้บรรลุผลเป็นรูปธรรม เช่น ถ้าเลือกการประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง นักวางแผนการเงินจะต้องดำเนินการพิจารณา เลือกบริษัทประกันที่ดี มีฐานะทางการเงินมั่นคง ติดต่อตัวแทนประกันภัย พิจารณาเงื่อนไขและการคุ้มครองให้ตรงกับความเสี่ยงที่พบ และในบางครั้งอาจจะต้องประสานงานกับผู้ประกอบวิชาชีพด้านอื่น เช่น นักกฎหมาย หรือนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เพื่อความช่วยเหลือหรือขอความเห็นในกรณีที่จำเป็น
ขั้นตอนที่ 6 การติดตามและตรวจสอบแผนการบริหารความเสี่ยง หลังจากที่ได้นำแผนไปปฏิบัติแล้ว จะต้องมีการติดตามและทบทวนแผนดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากสาเหตุสำคัญ 2 ประการคือ
1. เมื่อเวลาเปลี่ยนไป สภาพครอบครัวและฐานะทางการเงินของเจ้าของแผนอาจเปลี่ยนแปลงไป เช่น มีการหย่าร้าง มีบุตรเพิ่มขึ้น มีการเปลี่ยนงาน หรือสูญเสียคู่ครองหรือบุคคลในครอบครัว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อระดับความเสี่ยง รวมถึงแผนการบริหารความเสี่ยงที่จัดทำไว้ จำต้องมีการปรับปรุงแผนดังกล่าวใหม่
2. การทบทวนแผนอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ผู้วางแผนพบช่องโหว่ หรือจุดอ่อนบางประเด็นที่ถูกละเลยหรือถูกมองข้ามไป ในการวางแผนการบริหารความเสี่ยงในตอนต้น และดำเนินการแก้ไขหรือหามาตรการมาดำเนินการป้องกัน เพื่ออุดช่องโหว่หรือจุดอ่อนที่พบ ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ว่า แผนที่นำมาปฏิบัตินั้นครอบคลุมและครบถ้วนทุกด้าน
จะสรุปได้ว่า จากการพิจารณาการบริหารความเสี่ยงทั้งหมดอาจกล่าวได้ว่า การประกันภัยเป็นทางเลือกที่ดีทางเลือกหนึ่ง สำหรับใช้ในการบริหารความเสี่ยง แต่การประกันภัยอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทุก ๆ เหตุการณ์ในการจัดการความเสี่ยง ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกทางเลือกใด เพื่อใช้สำหรับการบริหารความเสี่ยงที่มี หน้าที่รับผิดชอบในการบริหารความเสี่ยง จะต้องแน่ใจว่าได้พิจารณา และประเมินผลได้ผลเสีย และข้อจำกัดของการเลือกครบทุกทางเลือกแล้ว รวมถึงได้พิจารณาต้นทุนและผลประโยชน์ โดยเปรียบเทียบกับมูลค่าความสูญเสียแล้วเป็นอย่างดี.