ในการวางแผนทางการเงิน จะต้องมีการนำต้นทุนค่าเสียโอกาสเข้ามาพิจารณาด้วยเสมอ แนวคิดมูลค่าเงินตามเวลาเป็นแนวคิดที่อธิบายถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสของเงินทุนที่ถูกนำมาใช้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินในเวลาแตกต่างกัน จะมีมูลค่าที่ไม่เท่ากัน อันเนื่องมาจากเงินที่ได้มาก่อนนั้น สามารถที่จะนำไปลงทุนสร้างผลตอบแทนได้ก่อน ทำให้เงินจำนวนเดียวกันในเวลาที่ต่างกันนั้น มีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยที่แตกต่างกันไป
ดังนั้น การเปรียบเทียบเงินในเวลาต่างกัน จึงไม่สามารถทำได้โดยตรง แต่จะต้องมีการเปลี่ยนเงินแต่ละจำนวน ที่จะนำมาเปรียบเทียบกันให้เป็นเงินในเวลาเดียวกันก่อน อนุมานได้กับการบวกลบเลขที่มีฐานต่างกัน ไม่สามารถที่จะบวกลบกันได้โดยตรง จะต้องมีการเปลี่ยนเลขที่มีฐานต่างกันนั้น ให้เป็นฐานเดียวกันก่อน จึงจะสามารถนำมาบวกลบกันได้
แนวคิดมูลค่าเงินตามเวลานั้น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการเปรียบเทียบต้นทุนในการซื้อสินค้าหรือบริการ ยังมีการตัดสินใจระหว่างการซื้อและการเช่าซื้อ แต่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการตัดสินใจในทางเลือกการลงทุนต่าง ๆ อีกด้วย แนวคิดนี้จะมีความสำคัญอย่างมาก สำหรับการตัดสินใจต่าง ๆ ทางการเงิน ที่ต้องเกี่ยวข้องกับกระแสเงินสด ที่จ่ายหรือรับหลาย ๆ จำนวน ในเวลาที่ต่างกัน
ในการตัดสินใจทางด้านการเงินส่วนบุคคล มีความจำเป็นในการประยุกต์ใช้แนวคิดมูลค่าเงินตามเวลา ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเป้าหมายทางการเงินที่กำหนดไว้ ซึ่งจะทำให้สามารถทราบว่า จะต้องออมเงินในแต่ละงวดเท่าใด เพื่อให้ได้เงินจำนวนหนึ่งที่ต้องการในอนาคต นอกจากนั้นยังสามารถนำแนวคิดดังกล่าวนี้ ไปประยุกต์ในการคำนวณจำนวนเงินที่จะต้องชำระคืนเงินกู้ ทั้งในส่วนของการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย ตามอัตราที่กำหนดไว้ให้แก่เจ้าหนี้ ซึ่งถ้าหากการชำระคืนในแต่ละงวดมีจำนวนชำระคืนเท่า ๆ กัน ภายในระยะเวลาที่กำหนด จะเรียกการผ่อนชำระคืนเงินกู้นี้ว่า loan amortization ทั้งนี้เงินที่ชำระคืนทั้งหมดทุกงวดรวมกัน จะมีมูลค่าปัจจุบันเท่ากับจำนวนเงินที่ลูกหนี้ได้กู้ยืมมาใช้ในปัจจุบัน
การประยุกต์ใช้แนวคิดดังกล่าว ยังมีประโยชน์ในการเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ในกรณีที่มีทางเลือกในการลงทุนหลาย ๆ ทางเลือก ซึ่งผู้ลงทุนอาจจะใช้แนวคิดมูลค่าเงินตามเวลา ในการคำนวณหาอัตราผลตอบแทนจากแต่ละทางเลือกในการลงทุนได้อีกด้วย
นิยามของแนวคิดมูลค่าเงินตามเวลา
แนวคิดมูลค่าเงินตามเวลา (time value of money) หมายถึงแนวคิดที่บ่งบอกว่าเงินจำนวนเดียวกัน ในเวลาที่ต่างกันจะมีมูลค่าไม่เท่ากัน เป็นแนวคิดที่ใช้ในการแปลงมูลค่าของเงินที่ได้รับ หรือที่ต้องจ่ายไปในเวลาต่าง ๆ กัน ให้เป็นมูลค่าของเงินในเวลาเดียวกัน เพื่อที่จะสามารถเปรียบเทียบมูลค่าเงินในเวลาที่ต่างกัน หรือทำการบวกลบมูลค่าเงินในเวลาที่ต่างกัน สำหรับการตัดสินใจทางการเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน การจัดหาเงินทุน หรือการซื้อสินค้าหรือบริการต่าง ๆ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคำศัพท์ต่าง ๆ ด้วย คือ
เงินต้นและดอกเบี้ย
เงินต้น (principal) หมายถึงจำนวนเงินที่นำมาเป็นฐานในการคิดดอกเบี้ย อาจจะเป็นเงินที่ต้องไปกู้ยืมในวันนี้ หรือเงินที่นำไปลงทุนในวันนี้
ดอกเบี้ย (interest) หมายถึงผลตอบแทนที่ได้รับ หรือผลตอบแทนที่ต้องจ่าย จากการใช้เงินทุน ในการคิดดอกเบี้ยจะมีวิธีการคิด 2 ประเภทด้วยกันดังนี้
การคิดดอกเบี้ยอย่างง่าย (simple interest) เป็นการคิดดอกเบี้ยจากเงินต้นเท่านั้น
การคิดดอกเบี้ยทบต้น (compound interest) เป็นการคิดดอกเบี้ยจากเงินต้นและดอกเบี้ย โดยดอกเบี้ยในแต่ละงวดนั้น จะถูกนำไปคิดรวมเป็นเงินต้นในงวดถัดไป
โดยปกติหากไม่มีการระบุว่าเป็นการคิดดอกเบี้ยอย่างง่ายในการตัดสินใจต่าง ๆ ทางการเงินอัตราดอกเบี้ยที่กล่าวถึงกันจะเป็นการคิดแบบทบต้นเสมอ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่มีการกำหนดระยะเวลาในการคิดทบต้นที่ต่างกัน แม้ว่าจะมีอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดเท่ากัน แต่จะมีมูลค่าอนาคตหรือมูลค่าทบต้นแตกต่างกัน
แกนของเวลา
แกนของเวลา (time line) คือแผนภาพเป็นเส้นตรงในแนวนอน ที่มีการระบุถึงจำนวนเงินและระยะเวลาที่เกิดขึ้นของจำนวนเงินดังกล่าว ซึ่งโดยทั่วไปนั้นมักจะกำหนดให้กระแสเงินสดเข้าหรือกระแสเงินสดรับมีเครื่องหมายบวก และกระแสเงินสดออกหรือกระแสเงินสดจ่ายมีเครื่องหมายลบ และสมมุติตัวเลขที่อยู่อีกด้านหนึ่งของเส้นตรงดังกล่าว แสดงถึงเวลา 1 งวดที่เกิดขึ้นของกระแสเงินสดดังกล่าว ทั้งนี้จุดเริ่มต้นที่อยู่ทางซ้ายมือสุด จะถือว่าเป็นเวลาเริ่มต้น
จากตัวอย่างด้านบน แสดงถึงการลงทุนด้วยเงินต้น 10,000 บาท ณ.ต้นปีที่ 1 โดยหลังจากการลงทุนดังกล่าว จะได้รับผลตอบแทนเมื่อสิ้นปีทุก ๆ ปี ทั้งหมดเป็นระยะเวลา 4 ปี เป็นจำนวนปีละ 100 บาท โดยเมื่อสิ้นสุดปีที่ 4 จะได้รับเงินต้นคืนมาด้วยอีก 10,000 บาท
การคิดทบต้น
การคิดทบต้น (compounding) เป็นกระบวนการหามูลค่าในอนาคตที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในปัจจุบัน ซึ่งการคิดดอกเบี้ยแบบทบต้นในระยะเวลาดังกล่าวจะเรียกว่า มูลค่าในอนาคต (future value) หรือมูลค่าทบต้น (compounded value)
จากแผนภาพ จะแสดงถึงกระบวนการคิดทบต้น เมื่อต้องการทราบมูลค่าอนาคตของการออมเงินทุกสิ้นปี ปีละ 10,000 บาท เป็นระยะเวลา 12 ปี
การคิดลด
การคิดลด (discounting) เป็นกระบวนการหามูลค่าที่ลดลงของจำนวนเงิน หรือกระแสเงินสดที่กำหนด หรือที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อเปรียบเทียบให้เป็นมูลค่าในปัจจุบัน ทั้งนี้มูลค่าของกระแสเงินสดทั้งหมดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อเปรียบเทียบให้เป็นมูลค่าในขณะนี้ จะเรียกว่ามูลค่าปัจจุบัน (present value) อัตราการลดลงของค่าของเงินในอนาคตเมื่อคำนวณให้เป็นมูลค่าของเงินในปัจจุบัน ซึ่งจะเป็นส่วนกลับกับอัตราดอกเบี้ยทบต้น (compounding interest rate) จะเรียกว่าอัตราคิดลดหรืออัตราส่วนลด (discount rate) ในบางครั้งอาจจะเรียกว่าอัตราผลตอบแทนที่ต้องการ (require rate of return) ค่าของทุน (cost of capital) หรือต้นทุนค่าเสียโอกาส (opportunity cost) ก็ได้
จากรูปตัวอย่าง แสดงกระบวนการคิดลดหามูลค่าปัจจุบันของการออมเงินทุก ๆ สิ้นปี ปีละ 10,000 บาท เป็นเวลา 12 ปี
มูลค่าอนาคตจะเพิ่มขึ้นจากกระบวนการคิดทบต้น และมูลค่าปัจจุบันจะลดลงจากกระบวนการคิดลด มีปัจจัยส่งผลกระทบดังนี้คือ มูลค่าของกระแสเงินสด ระยะเวลาในการคิดทบต้นหรือคิดลด และอัตราดอกเบี้ยทบต้นหรืออัตราคิดลด ถ้าหากเงินต้นเท่ากัน ระยะเวลาในการคิดทบยาวนานถึงอัตราดอกเบี้ยยิ่งสูง มูลค่าอนาคตก็จะยิ่งมาก ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากมูลค่าอนาคตเท่ากัน ระยะเวลาในการคิดลดยิ่งยาวนาน หรืออัตราคิดลดยิ่งสูง มูลค่าปัจจุบันก็จะยิ่งต่ำ
การแปลงมูลค่าเงินตามเวลา
ในการตัดสินใจทางการเงินส่วนบุคคลต่าง ๆ อาจจะต้องมีการเปรียบเทียบมูลค่าของเงินในเวลาที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นในกรณีของการเปรียบเทียบผลตอบแทน จากทางเลือกต่าง ๆ ในการลงทุนหรือต้นทุนทางการเงิน เมื่อต้องมีการตัดสินใจกู้ยืม หรือเช่าซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ เงินในเวลาต่างกันจะมีมูลค่าไม่เท่ากัน จึงต้องมีการแปลงให้เป็นมูลค่าเงินในเวลาเดียวกัน ก่อนที่จะทำการเปรียบเทียบ
กรณีเงินสดจำนวนเดียว
ซึ่งวิธีการแปลงค่าเงินจำนวนเดียวในเวลาต่าง ๆ โดยเริ่มจากการแปลงให้เป็นมูลค่าอนาคต และการแปลงให้เป็นมูลค่าปัจจุบันตามลำดับ
กรณีเงินสดหลายจำนวน
กรณีกระแสเงินสดหลายจำนวน จะใช้แนวคิดเดียวกับการแปลงค่าเงินตามเวลากรณีเงินจำนวนเดียว เพียงแต่ว่าจะต้องทำการแปลงค่าเงินแต่ละจำนวนในเวลาที่ต่างกัน ให้เป็นค่าเงินในเวลาที่ต้องการก่อน แล้วจึงหาผลรวมของค่าเงินแต่ละจำนวนที่ได้แปลงให้เป็นมูลค่าในเวลาที่ต้องการ ทั้งนี้เพื่อให้การคำนวณเป็นไปอย่างถูกต้องเข้าใจได้ง่าย ควรจะเขียนแกนของเวลาแสดงถึงกระแสเงินสดดังกล่าว เพื่อป้องกันความสับสนในการคำนวณ
กรณีเงินงวด
แนวคิดมูลค่าเงินตามเวลา สามารถทำการคำนวณหามูลค่าปัจจุบัน และมูลค่าอนาคตของกระแสเงินสด ที่มีเงินหลาย ๆ จำนวนในเวลาที่ต่างกันได้แล้ว จะต้องทำการแปลงมูลค่าของเงินทีละจำนวนแยกจากกัน แล้วค่อยนำมูลค่าเงินที่แปลงให้เป็นมูลค่าเงินในเวลาเดียวกัน แล้วมาหาผลรวมอีกครั้ง ทำให้การคำนวณดังกล่าวมีขั้นตอนที่มากขึ้น และต้องใช้เวลาในการคำนวณมากขึ้น นอกจากนั้นยังอาจจะเกิดความผิดพลาดได้ง่าย จึงมีการพยายามศึกษาวิธีการคำนวณดังกล่าวให้ง่ายขึ้น โดยใช้สูตรลับต่าง ๆ
การศึกษาวิธีการคำนวณมูลค่าอนาคต และมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสด ที่มีเงินในแต่ละงวดจำนวนเท่าเท่ากัน โดยเงินแต่ละจำนวนนั้นมีระยะเวลาห่างเท่า ๆ กัน และคิดอัตราดอกเบี้ยทบต้นในอัตราเดียวกันทุก ๆ งวดตลอดระยะเวลาการเคลื่อนไหวของกระแสเงินสด จะเรียกว่าเงินงวด (annuity) ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกันคือ
เงินงวดปกติ (ordinary annuity)
คือ เงินงวดที่มีการจ่ายหรือรับเงินสด เกิดขึ้น ณ วันสิ้นงวด ตัวอย่างได้แก่ การผ่อนชำระการจำนองบ้าน การผ่อนชำระค่ารถยนต์ เป็นต้น
เงินงวดหนี้ (annuity due)
คือ เงินงวดที่มีการจ่ายหรือรับเงินสด เกิดขึ้น ณ วันต้นงวด ตัวอย่างได้แก่ การชำระเบี้ยประกันภัย การชำระเบี้ยประกันชีวิต การชำระค่าเช่า เป็นต้น
สรุปได้ว่า
แนวคิดมูลค่าเงินตามเวลา เป็นแนวคิดที่ใช้ในการแปลงมูลค่าของเงิน ที่ได้รับหรือที่ต้องจ่ายไปในเวลาต่าง ๆ กันให้เป็นมูลค่าของเงินในเวลาเดียวกัน เพื่อที่จะสามารถเปรียบเทียบมูลค่าเงินในเวลาที่ต่างกัน หรือทำการบวกลบมูลค่าเงินในเวลาที่ต่างกัน สำหรับการตัดสินใจทางการเงินต่าง ๆ แนวคิดมูลค่าเงินตามเวลาไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการเปรียบเทียบต้นทุนในการซื้อสินค้าหรือบริการ แต่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการตัดสินใจ ทางเลือกการลงทุนต่าง ๆ อีกด้วย แนวคิดนี้จะมีความสำคัญอย่างมาก สำหรับการตัดสินใจทางการเงินที่ต้องเกี่ยวข้องกับกระแสเงินสด ที่จ่ายหรือรับหลาย ๆ จำนวนในเวลาที่ต่างกัน ในกรณีที่มีทางเลือกในการลงทุนหลาย ๆ ทางเลือก ซึ่งผู้ลงทุนอาจจะใช้แนวคิดมูลค่าเงินตามเวลา ในการคำนวณหาอัตราผลตอบแทน จากแต่ละทางเลือกในการลงทุนได้.